Saturday, March 29, 2025

เข้าใจเรื่อง Lot และโปรแกรมเพื่อใช้คำนวณการซื้อขายในตลาด Forex





เมื่อคุณเริ่มต้นซื้อขายในตลาด Forex สิ่งสำคัญที่คุณต้องเข้าใจคือ "หน่วยการซื้อขาย" หรือที่เรียกว่า Lot และวิธีการบริหารความเสี่ยง บทความนี้จะอธิบายความหมายของ Lot และวิธีการคำนวณเพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

Lot คืออะไร?

Lot คือหน่วยมาตรฐานที่ใช้กำหนดขนาดการซื้อขายในตลาด Forex เปรียบเสมือน "จำนวนหุ้น" ในตลาดหุ้น โดยแต่ละ Lot จะมีขนาดแตกต่างกันตามประเภท:


ประเภท Lotจำนวนหน่วยStandard 

Lot 100,000
Mini Lot 10,000
Micro Lot 1,000
Nano Lot 100

ขนาดของ Lot มีผลกระทบโดยตรงต่อจำนวนเงินที่อาจจะกำไรหรือขาดทุนในแต่ละการเคลื่อนไหวของราคา โบรกเกอร์หลายแห่งในปัจจุบันได้เพิ่มตัวเลือกขนาด Lot ที่เล็กลง (Mini, Micro, Nano) เพื่อให้เหมาะกับนักลงทุนที่มีเงินทุนน้อยหรือต้องการฝึกฝนการซื้อขายก่อน

การคำนวณมูลค่า Pip

การเปลี่ยนแปลงค่าสกุลเงินจะวัดใน "Pip" ซึ่งเป็นหน่วยเล็กที่สุดของการเปลี่ยนแปลงราคา โดยทั่วไปคือทศนิยมตำแหน่งที่ 4 (0.0001) สำหรับคู่สกุลเงินส่วนใหญ่ ยกเว้นคู่สกุลเงินที่มี JPY ซึ่งจะเป็นทศนิยมตำแหน่งที่ 2 (0.01)

มูลค่าของ 1 Pip จะขึ้นอยู่กับขนาด Lot และคู่สกุลเงินที่คุณซื้อขาย ด้านล่างเป็นวิธีการคำนวณมูลค่า Pip:

กรณีที่ USD เป็นสกุลเงินที่สอง (Quote Currency)

สูตร: (0.0001 ÷ อัตราแลกเปลี่ยน) × ขนาด Lot = มูลค่าต่อ Pip

ตัวอย่าง: คู่สกุลเงิน EUR/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1.1930

  • สำหรับ 1 Standard Lot (100,000 หน่วย):
  • (0.0001 ÷ 1.1930) × 100,000 = 8.38 × 1.1930 = $10 ต่อ pip

ตัวอย่าง: คู่สกุลเงิน GBP/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1.8040

  • สำหรับ 1 Standard Lot (100,000 หน่วย):
  • (0.0001 ÷ 1.8040) × 100,000 = 5.54 × 1.8040 = $10 ต่อ pip

สรุป: กรณีที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินที่สอง 1 Standard Lot จะมีมูลค่าประมาณ $10 ต่อ pip

กรณีที่ USD เป็นสกุลเงินแรก (Base Currency)

ตัวอย่าง: คู่สกุลเงิน USD/JPY ที่อัตราแลกเปลี่ยน 119.80

  • สำหรับ 1 Standard Lot (100,000 หน่วย):
  • (0.01 ÷ 119.80) × 100,000 = $8.34 ต่อ pip

ตัวอย่าง: คู่สกุลเงิน USD/CHF ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1.4555

  • สำหรับ 1 Standard Lot (100,000 หน่วย):
  • (0.0001 ÷ 1.4555) × 100,000 = $6.87 ต่อ pip

ตารางมูลค่า Pip

คู่สกุลเงินขนาดการเปลี่ยนแปลง 1 pipStandard Lot (100,000)Mini Lot (10,000)Micro Lot (1,000)Nano Lot (100)
EUR/USD0.0001$10$1$0.1$0.01
USD/JPY0.01$8.34$0.83$0.08$0.01

การใช้เลเวอเรจ (Leverage)

นักลงทุนรายย่อยไม่จำเป็นต้องมีเงินเต็มจำนวนตามขนาด Lot ที่ต้องการซื้อขาย เพราะโบรกเกอร์จะให้ใช้ระบบเลเวอเรจ ซึ่งเป็นการ "ยืม" เงินจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ

เลเวอเรจ คืออัตราส่วนระหว่างเงินที่คุณมี กับเงินที่คุณสามารถซื้อขายได้ เช่น เลเวอเรจ 100:1 หมายความว่าเงิน $1 สามารถซื้อขายได้ถึง $100

มาร์จิ้น (Margin) คืออะไร?

มาร์จิ้น คือเงินประกันที่โบรกเกอร์เรียกเก็บเพื่อเปิดสถานะซื้อขาย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาด Lot และอัตราเลเวอเรจ

สูตรคำนวณมาร์จิ้น: มูลค่าซื้อขายทั้งหมด ÷ อัตราเลเวอเรจ = มาร์จิ้นที่ต้องใช้

ตัวอย่างการคำนวณมาร์จิ้น

ตัวอย่าง 1: หากคุณต้องการซื้อ 1 Standard Lot (100,000 หน่วย) ของ USD/JPY โดยใช้เลเวอเรจ 100:1 (มาร์จิ้น 1%)

  • มาร์จิ้นที่ต้องใช้ = $100,000 ÷ 100 = $1,000

ตัวอย่าง 2: หากคุณต้องการขาย 50,000 หน่วยของ USD/JPY โดยใช้เลเวอเรจ 400:1 (มาร์จิ้น 0.25%)

  • มาร์จิ้นที่ต้องใช้ = $50,000 ÷ 400 = $125

ตัวอย่าง 3: หากคุณต้องการซื้อ 1 Micro Lot (1,000 หน่วย) ของ EUR/GBP โดยใช้เลเวอเรจ 200:1 (มาร์จิ้น 0.5%)

  • มาร์จิ้นที่ต้องใช้ = €1,000 ÷ 200 = €5

การคำนวณกำไรและขาดทุน

เมื่อคุณเข้าใจเรื่อง Lot และมูลค่า Pip แล้ว คุณสามารถคำนวณกำไรหรือขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้ดังนี้:

สูตร: จำนวน Pip ที่เปลี่ยนแปลง × มูลค่าต่อ Pip = กำไร/ขาดทุน

ตัวอย่างการคำนวณกำไรและขาดทุน

สถานการณ์: คุณซื้อ 1 Standard Lot (100,000 หน่วย) ของ USD/CHF ที่ราคา 1.4555 (Ask Price) หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ราคาเปลี่ยนเป็น 1.4575 และคุณตัดสินใจขายที่ราคา 1.4575 (Bid Price)

การคำนวณ:

  • ความแตกต่างของราคา = 1.4575 - 1.4555 = 0.0020 หรือ 20 pips
  • มูลค่าต่อ Pip = (0.0001 ÷ 1.4575) × 100,000 = $6.86
  • กำไร = 20 pips × $6.86 = $137.20

หลักการบริหารความเสี่ยง

การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญมากในการซื้อขาย Forex ต่อไปนี้เป็นหลักการสำคัญในการบริหารความเสี่ยง:

  1. กำหนดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง: ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดในการเทรดแต่ละครั้ง
  2. เลือกขนาด Lot ให้เหมาะสมกับเงินทุน:
    • เงินทุนน้อย ควรเลือกใช้ Micro Lot หรือ Nano Lot
    • เงินทุนปานกลาง สามารถใช้ Mini Lot
    • เงินทุนมาก จึงควรพิจารณาใช้ Standard Lot
  3. คำนวณขนาด Lot จากความเสี่ยงที่ยอมรับได้:
    ขนาด Lot = (เงินทุน × % ความเสี่ยงที่ยอมรับได้) ÷ (จำนวน Pip ที่อาจขาดทุน × มูลค่าต่อ Pip)
  4. ใช้คำสั่ง Stop Loss เสมอ: กำหนดจุดตัดขาดทุนเพื่อจำกัดความเสียหายหากตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์
  5. รักษาอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio): ควรตั้งเป้าหมายกำไรที่มากกว่าความเสี่ยงขาดทุนอย่างน้อย 1:2 (เช่น เสี่ยงขาดทุน $100 เพื่อโอกาสทำกำไร $200)

บทสรุป

การเข้าใจเรื่อง Lot และวิธีคำนวณความเสี่ยงเป็นพื้นฐานสำคัญในการซื้อขาย Forex อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกขนาด Lot ที่เหมาะสมกับเงินทุนและการบริหารความเสี่ยงที่ดีจะช่วยให้คุณอยู่ในตลาดได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าตลาดจะผันผวนอย่างไร

การคำนวณมูลค่าต่อ Pip และมาร์จิ้นที่ต้องใช้จะช่วยให้คุณวางแผนการเทรดได้อย่างรอบคอบ และที่สำคัญที่สุดคือการจำกัดความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้เสมอ




เครื่องคำนวณ Lot Size สำหรับ Forex

เครื่องคำนวณ Lot Size สำหรับ Forex

คำนวณขนาด Lot ตามการบริหารความเสี่ยง

คำนวณมูลค่า Pip

คำนวณ Margin Required

ข้อมูลประเภท Lot ในตลาด Forex

ประเภท Lot จำนวนหน่วย
Standard Lot 100,000
Mini Lot 10,000
Micro Lot 1,000
Nano Lot 100

หลักการบริหารความเสี่ยง

1. กำหนดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง: ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดในการเทรดแต่ละครั้ง

2. เลือกขนาด Lot ให้เหมาะสมกับเงินทุน: เงินทุนน้อยควรใช้ Micro Lot หรือ Nano Lot, เงินทุนปานกลางใช้ Mini Lot, เงินทุนมากจึงพิจารณาใช้ Standard Lot

3. ใช้คำสั่ง Stop Loss เสมอ: กำหนดจุดตัดขาดทุนเพื่อจำกัดความเสียหายหากตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์

4. รักษาอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: ควรตั้งเป้าหมายกำไรที่มากกว่าความเสี่ยงขาดทุนอย่างน้อย 1:2

Share:

เข้าใจสภาพตลาด Forex เบื้องต้น: ตลาดกระทิง ตลาดหมี และตลาดแนวราบ

การคาดการณ์สภาพตลาดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการซื้อขาย Forex เพราะสภาพตลาดปัจจุบันจะกำหนดกลยุทธ์การซื้อขายของเรา รวมถึงการตัดสินใจว่าควรใช้คำสั่งซื้อขายแบบใด การใช้เส้นแนวโน้มในการวิเคราะห์จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการระบุทิศทางตลาด ทำให้เราได้เปรียบผู้ค้ารายอื่นอย่างมีนัยสำคัญ

ในบทความนี้ เราจะอธิบายถึงสภาพตลาดที่สำคัญ 3 ประเภท ได้แก่ ตลาดกระทิง (Bull Market) ตลาดหมี (Bear Market) และตลาดแนวราบ (Sideways Market หรือ Range-Bound Market)

ตลาดกระทิง (Bull Market) คืออะไร?

"ตลาดกระทิง" เป็นคำที่ใช้อธิบายตลาดที่มีแนวโน้มราคาขาขึ้น (Uptrend) อย่างต่อเนื่อง เรียกว่า "กระทิง" เพราะเวลากระทิงขวิดศัตรู มันจะใช้เขาของมันขวิดขึ้นด้านบน ซึ่งเปรียบเสมือนกราฟราคาที่พุ่งสูงขึ้น

ลักษณะสำคัญของตลาดกระทิง:

  • จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ: กราฟจะแสดงจุดสูงสุด (Higher Highs) และจุดต่ำสุด (Higher Lows) ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง
  • ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสูง: ตลาดเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและมีความคาดหวังว่าราคาจะสูงขึ้นต่อไป
  • ปริมาณการซื้อขายสูง: โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาขยับขึ้น
  • ระยะเวลา: แนวโน้มขาขึ้นเหล่านี้อาจคงอยู่เป็นเวลาหลายสัปดาห์ หลายเดือน หรือแม้กระทั่งหลายปี

กลยุทธ์การเทรดในตลาดกระทิง:

  1. Buy and Hold: ซื้อและถือสถานะไว้เพื่อรอให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น
  2. Buy on Dips: ซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงเล็กน้อย (การพักตัว) แล้วรอให้ราคากลับไปสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง
  3. Buying Breakouts: ซื้อเมื่อราคาทะลุแนวต้านสำคัญขึ้นไป

ตลาดหมี (Bear Market) คืออะไร?

"ตลาดหมี" เป็นคำที่ใช้อธิบายตลาดที่มีแนวโน้มราคาขาลง (Downtrend) อย่างต่อเนื่อง เรียกว่า "หมี" เพราะเวลาหมีจู่โจมเหยื่อ มันจะใช้อุ้งเท้าตะปบลงจากด้านบน ซึ่งเปรียบเสมือนกราฟราคาที่ร่วงลงมา

ลักษณะสำคัญของตลาดหมี:

  • จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลงเรื่อยๆ: กราฟจะแสดงจุดสูงสุด (Lower Highs) และจุดต่ำสุด (Lower Lows) ที่ต่ำลงต่อเนื่อง
  • ความกังวลของนักลงทุน: ผู้ลงทุนเริ่มรู้สึกวิตกกังวล และมักจะขายสินทรัพย์มากกว่าซื้อ
  • การขายทำกำไร: เกิดแรงขายจากนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงหรือป้องกันการขาดทุน
  • ราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง: โดยเฉพาะในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีสภาพคล่องต่ำ

กลยุทธ์การเทรดในตลาดหมี:

  1. Selling Rallies: ขายเมื่อราคาดีดตัวขึ้นในช่วงสั้นๆ แล้วรอให้ราคากลับไปสู่แนวโน้มขาลงอีกครั้ง
  2. Short Selling: เปิดสถานะขาย (Short) เพื่อทำกำไรจากราคาที่ลดลง
  3. Buying Put Options: (ในกรณีตลาดอื่นที่มีอนุพันธ์) ซื้อสิทธิในการขายเพื่อทำกำไรจากราคาที่ลดลง

ตลาดแนวราบ (Sideways Market หรือ Range-Bound Market) คืออะไร?


"ตลาดแนวราบ" เป็นสภาวะตลาดที่ราคาเคลื่อนไหวในกรอบหรือช่วงราคาที่แคบ ไม่มีทิศทางชัดเจนว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลง ราคามักจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) ที่ชัดเจน

ลักษณะสำคัญของตลาดแนวราบ:

  • การเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด: ราคาเคลื่อนไหวขึ้นลงในช่วงราคาที่ค่อนข้างแคบ
  • ไม่มีทิศทางชัดเจน: ไม่มีแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงที่ชัดเจน
  • แนวรับและแนวต้านชัดเจน: มีระดับราคาที่เป็นแนวรับด้านล่างและแนวต้านด้านบนที่ชัดเจน
  • ความผันผวนต่ำ: มักมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดที่มีทิศทางชัดเจน

กลยุทธ์การเทรดในตลาดแนวราบ:

  1. Range Trading: ซื้อที่แนวรับและขายที่แนวต้าน
  2. Breakout Trading: รอให้ราคาทะลุกรอบการเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แล้วเทรดตามทิศทางนั้น
  3. ใช้ Oscillator: ตัวชี้วัดประเภท Oscillator เช่น RSI, Stochastic จะมีประสิทธิภาพดีในตลาดแนวราบ

ความแตกต่างระหว่างตลาดกระทิง ตลาดหมี และตลาดแนวราบ

ลักษณะ

ตลาดกระทิง (Bull)

ตลาดหมี (Bear)

ตลาดแนวราบ (Sideways)

ทิศทางราคา

ขาขึ้น (Uptrend)

ขาลง (Downtrend)

ไม่มีทิศทางชัดเจน

รูปแบบกราฟ

Higher Highs, Higher Lows

Lower Highs, Lower Lows

ราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ

ความเชื่อมั่น

สูง, ตลาดมองในแง่ดี

ต่ำ, ตลาดมองในแง่ร้าย

ปานกลาง, ตลาดลังเล

กลยุทธ์หลัก

Buy and Hold, Buy on Dips

Selling Rallies, Short Selling

Range Trading, Breakout Trading

ตัวชี้วัดที่เหมาะสม

Trend Following Indicators

Trend Following Indicators

Oscillators

ทำกำไรได้ในทุกสภาพตลาด

ข้อดีอย่างหนึ่งของตลาด Forex คือโอกาสที่นักเทรดสามารถทำกำไรได้ในทุกสภาพตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดกระทิง ตลาดหมี หรือตลาดแนวราบ นี่เป็นเพราะการซื้อขาย Forex นั้นเป็นคู่สกุลเงินเสมอ เมื่อสกุลเงินหนึ่งอ่อนค่าลง อีกสกุลหนึ่งก็จะแข็งค่าขึ้น

วิธีการทำกำไรในแต่ละสภาพตลาด:

ตลาดกระทิง (Bull Market):

  • เปิดสถานะซื้อ (Long) ในคู่สกุลเงินที่มีแนวโน้มขาขึ้น
  • ใช้กลยุทธ์ Buy and Hold หรือ Buy on Dips
  • ใช้คำสั่ง Buy Limit เมื่อราคาย่อตัวลงมาที่แนวรับ

ตลาดหมี (Bear Market):

  • เปิดสถานะขาย (Short) ในคู่สกุลเงินที่มีแนวโน้มขาลง
  • ใช้กลยุทธ์ Selling Rallies
  • ใช้คำสั่ง Sell Limit เมื่อราคาดีดตัวขึ้นมาที่แนวต้าน

ตลาดแนวราบ (Sideways Market):

  • ซื้อที่แนวรับและขายที่แนวต้าน
  • ใช้ตัวชี้วัดประเภท Oscillator เช่น RSI หรือ Stochastic เพื่อระบุสภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)
  • ใช้คำสั่ง Buy Limit ที่แนวรับและ Sell Limit ที่แนวต้าน

การระบุสภาพตลาดด้วยเครื่องมือทางเทคนิค

การระบุว่าตลาดอยู่ในสภาวะใด สามารถใช้เครื่องมือทางเทคนิคช่วยได้ดังนี้:

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages):

  • ตลาดกระทิง: เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว และทั้งคู่ชี้ขึ้น
  • ตลาดหมี: เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นอยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว และทั้งคู่ชี้ลง
  • ตลาดแนวราบ: เส้นค่าเฉลี่ยทั้งสองเคลื่อนที่ในแนวราบและมักจะตัดกันบ่อยๆ

ตัวชี้วัด ADX (Average Directional Index):

  • ค่า ADX > 25: แสดงว่าตลาดมีแนวโน้มชัดเจน (อาจเป็นขาขึ้นหรือขาลง)
  • ค่า ADX < 20: แสดงว่าตลาดไม่มีแนวโน้มชัดเจน (อาจเป็นตลาดแนวราบ)

ตัวชี้วัด RSI (Relative Strength Index):

  • ตลาดกระทิง: RSI มักอยู่ในโซน 50-70 เป็นส่วนใหญ่
  • ตลาดหมี: RSI มักอยู่ในโซน 30-50 เป็นส่วนใหญ่
  • ตลาดแนวราบ: RSI เคลื่อนไหวระหว่าง 30-70 และกลับตัวบ่อยๆ

สรุป

การเข้าใจสภาพตลาดทั้งสามประเภท - ตลาดกระทิง ตลาดหมี และตลาดแนวราบ - มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเทรด Forex เพราะจะช่วยให้คุณ:

  1. เลือกกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสม: แต่ละสภาพตลาดต้องการกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน
  2. ตัดสินใจได้ว่าควรใช้คำสั่งซื้อขายแบบใด: เช่น Market Order, Limit Order หรือ Stop Order
  3. จัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม: รู้ว่าควรวาง Stop Loss และ Take Profit ที่ระดับใด
  4. รู้จังหวะเข้าและออกจากตลาด: เข้าใจว่าควรเข้าเทรดเมื่อไหร่และควรออกจากตลาดเมื่อใด

โดยสรุป การระบุสภาพตลาดอย่างถูกต้องและการปรับกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะสมกับสภาพตลาดนั้นๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการเทรด Forex ในระยะยาว

Share:

Wednesday, March 26, 2025

คำศัพท์พื้นฐานเบื้องต้นที่ต้องรู้สำหรับผู้เริ่มในตลาด Forex

การเข้าใจคำศัพท์เฉพาะในตลาด Forex เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับผู้เริ่มต้น บทความนี้จะอธิบายคำศัพท์พื้นฐานของ Forex พร้อมยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจง่าย

1. Currency Pair (คู่สกุลเงิน)

ในตลาด Forex จะซื้อขายเป็นคู่สกุลเงิน มีคู่สกุลเงินให้เลือกมากมาย โดยมีคู่สกุลเงินหลักๆ เช่น EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD

วิธีอ่านคู่สกุลเงิน: ในคู่ EUR/USD

  • ค่าเงินฝั่งซ้ายมือ (EUR) = สกุลเงินอ้างอิง (Base Currency)
  • ค่าเงินฝั่งขวามือ (USD) = สกุลเงินเป็นตัวเปลี่ยนแปลง (Quote Currency)

2. Exchange Rate (อัตราแลกเปลี่ยน)

คู่สกุลเงินแต่ละคู่จะมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ค่าหนึ่งเสมอ เช่น EUR/USD = 1.13693 หมายความว่า "ขณะนี้เงิน 1 EUR สามารถแลกเป็น 1.13693 USD"

โดยค่าเงินฝั่งซ้ายมือจะมีค่า 1 หน่วยเสมอ ส่วนค่าเงินฝั่งขวาจะเปลี่ยนไปตามกลไกตลาด

3. Quote (ราคาเสนอซื้อขาย)

ราคาตลาดจะมีผลต่างระหว่างราคาซื้อ (Ask, Buying) กับราคาขาย (Bid, Selling) ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเสมอ เช่น 1.13693/1.13710

4. Ask Price (ราคาเสนอซื้อ)

หมายถึงราคาที่เราซื้อ จากตัวอย่างข้างต้น คู่เงิน EUR/USD ที่มี Quote เป็น 1.13693/1.13710 ราคาที่ซื้อคือ 1.13710 (จะเป็นค่าสูงกว่าเสมอ)

5. Bid Price (ราคาเสนอขาย)

หมายถึงราคาที่เราขาย จากตัวอย่างข้างต้น คู่เงิน EUR/USD ที่มี Quote เป็น 1.13693/1.13710 ราคาที่ขายคือ 1.13693 (จะเป็นค่าต่ำกว่าเสมอ)

6. Spread (ส่วนต่าง)

ผลต่างระหว่างราคาซื้อ (Ask Price) และราคาขาย (Bid Price) Spread = Ask Price – Bid Price

7. Pip (จุด)

Pip (Price Interest Point) เป็นหน่วยการเปลี่ยนแปลงเล็กที่สุดของการซื้อขาย Forex

ตัวอย่าง:

  • หากคู่สกุลเงิน EUR/USD เปลี่ยนจาก 1.2550 เป็น 1.2551 = การเคลื่อนไหว 1 pip
  • หากเปลี่ยนจาก 1.2550 เป็น 1.2555 = การเคลื่อนไหว 5 pip

โดยทั่วไป Pip คือทศนิยมตำแหน่งที่ 4 สำหรับคู่สกุลเงินส่วนใหญ่ ยกเว้นคู่สกุลเงินที่มีเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งจะเป็นทศนิยมตำแหน่งที่ 2 (เช่น USD/JPY = 86.51)

8. Fraction Pip (พิปย่อย)

ทศนิยมตำแหน่งที่ 5 ในอัตราแลกเปลี่ยน เช่น 1.23456 โดยจะแสดงเป็น 1.23456

สำหรับคู่สกุลเงินที่มี JPY จะเป็นทศนิยมตำแหน่งที่ 3 เช่น 123.456

9. Lot (ล็อต)

หน่วยการซื้อขายในตลาด Forex มี 3 ขนาด:

  • Standard Lot = 100,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก
  • Mini Lot = 10,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก
  • Micro Lot = 1,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก

ตัวอย่าง:

  • ถ้าคุณซื้อ 1 Standard Lot ของ EUR/USD ที่ 1.1360 คุณจะซื้อ 100,000 EUR และขาย 113,600 USD
  • ถ้าคุณขาย 1 Micro Lot ของ EUR/USD ที่ 1.1360 คุณจะขาย 1,000 EUR และซื้อ 1,136 USD

หมายเหตุ: บัญชีโบรกเกอร์สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นแบบ Standard Lot หรือ Micro Lot หากมีทุนน้อยและต้องการฝึกฝนก่อน การใช้บัญชีแบบ Micro Lot เป็นตัวเลือกที่ดี

10. Leverage (เลเวอเรจ)

การที่โบรกเกอร์ให้เรายืมเงินเพื่อซื้อขายในปริมาณที่มากกว่าเงินทุนที่มีอยู่

เลเวอเรจมีหลายระดับ เช่น 100:1, 200:1 หรือแม้แต่ 500:1

  • 100:1 หมายถึง เงิน $1,000 สามารถซื้อขายได้ถึง $100,000
  • 200:1 หมายถึง เงิน $1,000 สามารถซื้อขายได้ถึง $200,000
  • 500:1 หมายถึง เงิน $1,000 สามารถซื้อขายได้ถึง $500,000

ข้อควรระวัง: เลเวอเรจเพิ่มทั้งโอกาสทำกำไรและความเสี่ยงขาดทุน โดยทั่วไปโบรกเกอร์จะมีระบบป้องกันยอดติดลบ ซึ่งหมายความว่าหากขาดทุนจนถึงเงินทุนทั้งหมด (เช่น $5,000) สถานะจะถูกปิดโดยอัตโนมัติ

11. Margin (มาร์จิ้น)

จำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องมีในบัญชีเพื่อเปิดสถานะซื้อขาย แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์

ตัวอย่าง: หากคุณเทรดบนมาร์จิ้น 1% หมายความว่าทุกๆ $100 ที่คุณซื้อขาย คุณต้องวางเงินมัดจำ $1

หากคุณซื้อ 1 Standard Lot (100,000 USD) คุณจะต้องมีเงินในบัญชีเพียง 1% คือ $1,000 แต่สามารถซื้อขายในมูลค่า $100,000 ได้

การซื้อขายมาร์จิ้นเป็นการใช้เงินกู้จากโบรกเกอร์ โดยที่เงินฝากเริ่มต้นทำหน้าที่เป็นหลักประกัน

12. Equity (ส่วนของทุน)

จำนวนเงินทั้งหมดในบัญชีซื้อขาย รวมถึงกำไรและขาดทุนปัจจุบัน

ตัวอย่าง: หากคุณฝากเงิน $10,000 และมีกำไร $3,000 ส่วนของทุนจะเท่ากับ $13,000

13. Margin Used (มาร์จิ้นที่ใช้ไป)

จำนวนเงินที่โบรกเกอร์กันไว้เพื่อรักษาสถานะการซื้อขายปัจจุบันให้เปิดอยู่ได้

14. Free Margin (มาร์จิ้นคงเหลือ)

จำนวนเงินในบัญชีที่สามารถใช้เปิดสถานะใหม่ได้

Free Margin = Equity - Margin Used

ตัวอย่าง: หากส่วนของทุนคือ $13,000 และสถานะเปิดของคุณใช้มาร์จิ้น $2,000 คุณจะเหลือมาร์จิ้นอิสระ $11,000 สำหรับเปิดสถานะใหม่

15. Position (สถานะ)

สถานะการซื้อขายในตลาด Forex

16. Long Position (สถานะซื้อ)

สถานะที่คุณเข้าซื้อสกุลเงิน

ตัวอย่าง: ในคู่ EUR/USD หากคุณคาดว่า EUR จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ USD คุณจะซื้อ EUR (Long) และทำกำไรจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้น

17. Short Position (สถานะขาย)

สถานะที่คุณขายสกุลเงิน

ตัวอย่าง: ในคู่ EUR/USD หากคุณคาดว่า EUR จะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับ USD คุณจะขาย EUR (Short) และทำกำไรจากมูลค่าที่ลดลง

18. Close Position (ปิดสถานะ)

การปิดสถานะซื้อขายที่เปิดอยู่


คำศัพท์ข้างต้นเหล่านี้ถือเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับผู้เริ่มต้นที่จะเข้าสู่ตลาด Forex การเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจการทำงานของตลาดและการซื้อขายได้ดียิ่งขึ้น

Share:

เข้าใจภาพรวมคำสั่งซื้อขายในตลาดฟอเร็กซ์

 

การซื้อขายในตลาดฟอเร็กซ์จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับคำสั่งซื้อขายประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักเทรดใช้ในการเข้าและออกจากตลาด รวมถึงการจัดการความเสี่ยง คำสั่งซื้อขายที่เหมาะสมช่วยให้นักเทรดสามารถวางแผนกลยุทธ์ล่วงหน้า ดำเนินการตามแผน และป้องกันอารมณ์ที่อาจส่งผลเสียต่อการตัดสินใจ บทความนี้จะอธิบายคำสั่งซื้อขายพื้นฐานที่ใช้ในตลาดฟอเร็กซ์ พร้อมตัวอย่างประกอบเพื่อให้เข้าใจง่าย

คำสั่งซื้อขายทันที (Market Order)

Market Order หรือ Order Entry คือคำสั่งซื้อหรือขายสกุลเงินทันที ณ ราคาปัจจุบันในตลาด คำสั่งเหล่านี้จะส่งผ่านโบรกเกอร์ และจะถูกดำเนินการทันทีที่ระบบรับคำสั่ง

1. เปิดคำสั่งซื้อ (Buy)

เป็นการเปิดสถานะซื้อเมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะมีทิศทางขาขึ้น (เพิ่มขึ้น)

2. เปิดคำสั่งขาย (Sell)

เป็นการเปิดสถานะขายเมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะมีทิศทางขาลง (ลดลง)

คำสั่งจัดการความเสี่ยงและกำไร

1. Take Profit (TP)

เป็นคำสั่งที่จะปิดการซื้อขายของคุณโดยอัตโนมัติทันทีที่กำไรถึงระดับที่กำหนดไว้ คำสั่งนี้ช่วยให้คุณสามารถรักษากำไรที่ต้องการไว้ได้แม้ว่าจะไม่ได้อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ตาม

2. Stop Loss (SL)

เป็นคำสั่งให้ปิดการซื้อขายโดยอัตโนมัติทันทีที่ขาดทุนถึงระดับที่กำหนดไว้ กลยุทธ์นี้ช่วยให้คุณสามารถจำกัดการขาดทุนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ และป้องกันการสูญเสียเงินในพอร์ตทั้งหมดในกรณีที่ราคาเคลื่อนไหวผิดทิศทางจากที่คาดการณ์ไว้

คำสั่งเหล่านี้มีประโยชน์มากเพราะเราไม่สามารถคาดการณ์ตลาดได้อย่างแม่นยำ 100% แต่คำสั่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณได้กำไรตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ และจำกัดการขาดทุนให้น้อยที่สุด

คำสั่งสำหรับการซื้อขายล่วงหน้า (Pending Orders)

คำสั่งเหล่านี้ใช้เมื่อคาดการณ์ทิศทางของราคาในอนาคต โดยระบบจะดำเนินการเมื่อราคาเคลื่อนไหวมาถึงระดับที่คุณกำหนดไว้

1. Buy Stop

คำสั่งนี้จะใช้เมื่อคุณคาดการณ์ว่า เมื่อราคาขึ้นไปถึงระดับที่กำหนดแล้ว มีแนวโน้มที่จะขึ้นต่อไปอีก ระบบจะทำการเข้าซื้อโดยอัตโนมัติเมื่อราคาขึ้นไปถึงระดับที่คุณกำหนดไว้

ตัวอย่าง: คู่เงิน USD/JPY มีราคาปัจจุบันอยู่ที่ 108.27 คุณคาดการณ์ว่าถ้าราคาขึ้นไปถึง 108.55 แล้ว มีแนวโน้มจะขึ้นไปสูงกว่านี้อีก คุณจึงวางคำสั่ง Buy Stop ที่ระดับ 108.55

2. Buy Limit

คำสั่งนี้จะใช้เมื่อคุณคาดการณ์ว่า เมื่อราคาลงมาถึงระดับที่กำหนดแล้ว มีแนวโน้มที่จะเด้งตัวกลับขึ้นไป ระบบจะทำการเข้าซื้อโดยอัตโนมัติเมื่อราคาลงมาถึงระดับที่คุณกำหนดไว้

ตัวอย่าง: คู่เงิน USD/JPY มีราคาปัจจุบันอยู่ที่ 108.27 คุณคาดการณ์ว่าถ้าราคาลงไปถึง 108.00 แล้ว มีแนวโน้มที่จะตีกลับขึ้นมา คุณจึงวางคำสั่ง Buy Limit ที่ระดับ 108.00

3. Sell Stop

คำสั่งนี้จะใช้เมื่อคุณคาดการณ์ว่า เมื่อราคาลงมาถึงระดับที่กำหนดแล้ว มีแนวโน้มที่จะลงต่อไปอีก ระบบจะทำการเข้าขายโดยอัตโนมัติเมื่อราคาลงมาถึงระดับที่คุณกำหนดไว้

ตัวอย่าง: คู่เงิน USD/JPY มีราคาปัจจุบันอยู่ที่ 108.27 คุณคาดการณ์ว่าถ้าราคาลงไปถึง 108.00 แล้ว มีแนวโน้มที่จะลงต่ำกว่า 108.00 อีก คุณจึงวางคำสั่ง Sell Stop ที่ระดับ 108.00

4. Sell Limit

คำสั่งนี้จะใช้เมื่อคุณคาดการณ์ว่า เมื่อราคาขึ้นไปถึงระดับที่กำหนดแล้ว มีแนวโน้มที่จะตีกลับลงมา ระบบจะทำการเข้าขายโดยอัตโนมัติเมื่อราคาขึ้นไปถึงระดับที่คุณกำหนดไว้

ตัวอย่าง: คู่เงิน USD/JPY มีราคาปัจจุบันอยู่ที่ 108.27 คุณคาดการณ์ว่าถ้าราคาขึ้นไปถึง 108.55 แล้ว มีแนวโน้มที่จะตีกลับลงมา คุณจึงวางคำสั่ง Sell Limit ที่ระดับ 108.55

สรุป

จากบทความนี้ จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจการใช้คำสั่งซื้อขายในตลาดฟอเร็กซ์ได้ดียิ่งขึ้น หากคุณยังไม่คุ้นเคยกับคำสั่งเหล่านี้ แนะนำให้ทดลองใช้ผ่านบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อน

ตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว การออกคำสั่งซื้อขายที่ถูกต้องและทันเวลาเป็นสิ่งสำคัญ หากมีความล่าช้าในการออกคำสั่ง อาจทำให้คุณพลาดโอกาสทางการลงทุนได้ นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่การเลือกโบรกเกอร์ที่มีระบบการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญ

Share:

Monday, March 24, 2025

เข้าใจพื้นฐาน Forex : ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราโลก

หากคุณเคยเดินทางไปต่างประเทศและต้องแลกเงิน หรือได้ยินคนพูดถึงการเทรดค่าเงิน บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมของตลาด Forex อย่างเรียบง่าย

Forex คืออะไร

Forex ย่อมาจาก "Foreign Exchange Market" หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน

ตลาด Forex เป็นแหล่งที่สถาบันการเงิน ธนาคารกลาง บริษัทข้ามชาติ และนักลงทุนทั่วโลกมาทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆ โดยจุดประสงค์หลักคือ:

  1. การค้าระหว่างประเทศ: บริษัทต้องแลกเปลี่ยนเงินเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ
  2. การลงทุนระหว่างประเทศ: นักลงทุนที่ต้องการซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศ
  3. การท่องเที่ยว: นักท่องเที่ยวต้องแลกเงินเพื่อใช้จ่ายในประเทศที่ตนเดินทางไป
  4. การเก็งกำไร: นักลงทุนที่คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินเพื่อทำกำไร

ลักษณะเฉพาะของตลาด Forex

ตลาด Forex มีลักษณะเฉพาะที่น่าสนใจ

  • เปิดทำการ 24 ชั่วโมง: (ยกเว้นช่วงสุดสัปดาห์) เนื่องจากเป็นตลาดโลกที่มีศูนย์กลางการซื้อขายในหลายประเทศ เช่น โตเกียว ลอนดอน นิวยอร์ก
  • ไม่มีที่ตั้งทางกายภาพ: เป็นตลาดที่ดำเนินการผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์
  • สภาพคล่องสูง: มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก ทำให้ซื้อขายได้ง่าย
  • มีผู้เล่นหลากหลาย: ตั้งแต่ธนาคารขนาดใหญ่ ไปจนถึงนักลงทุนรายย่อย

สกุลเงินในตลาด Forex

ในตลาด Forex สกุลเงินจะถูกซื้อขายเป็นคู่ เช่น EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากการแลกเปลี่ยนเงินตราคือการซื้อสกุลเงินหนึ่งด้วยอีกสกุลเงินหนึ่ง

คู่สกุลเงินหลักที่มีการซื้อขายมากที่สุดได้แก่:

  • EUR/USD: ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ
  • USD/JPY: ดอลลาร์สหรัฐ/เยนญี่ปุ่น
  • GBP/USD: ปอนด์อังกฤษ/ดอลลาร์สหรัฐ
  • USD/CHF: ดอลลาร์สหรัฐ/ฟรังก์สวิส
  • AUD/USD: ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ดอลลาร์สหรัฐ
  • USD/CAD: ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์แคนาดา

อัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร

อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามหลักอุปสงค์และอุปทาน โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงมีหลายประการ เช่น:

  • นโยบายการเงิน: อัตราดอกเบี้ยและการดำเนินนโยบายของธนาคารกลาง
  • ข้อมูลเศรษฐกิจ: ตัวเลขการจ้างงาน อัตราเงินเฟ้อ GDP
  • สถานการณ์ทางการเมือง: การเลือกตั้ง ความไม่สงบทางการเมือง
  • ความเชื่อมั่นของตลาด: ความกังวลของนักลงทุนต่อสถานการณ์โลก
  • ดุลการค้า: ความสัมพันธ์ระหว่างการส่งออกและนำเข้าของประเทศ

ตัวอย่างง่ายๆ: หากสหรัฐอเมริกาเพิ่มอัตราดอกเบี้ย มักทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เพราะนักลงทุนจะซื้อดอลลาร์มากขึ้นเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น

วิธีซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราในรูปแบบต่างๆ

การซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสามารถทำได้หลายวิธี ตั้งแต่รูปแบบดั้งเดิมไปจนถึงแพลตฟอร์มออนไลน์สมัยใหม่

การแลกเปลี่ยนเงินตราแบบดั้งเดิม

  1. ธนาคารพาณิชย์:
    • วิธีดั้งเดิมที่สุดคือการไปแลกเงินที่ธนาคาร
    • ข้อดี: ปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือ
    • ข้อจำกัด: อัตราแลกเปลี่ยนมักไม่ดีที่สุด มีค่าธรรมเนียมสูง และมีข้อจำกัดด้านเวลาทำการ
  2. ร้านแลกเงิน (Exchange Bureau):
    • พบได้ทั่วไปในแหล่งท่องเที่ยวและสนามบิน
    • ข้อดี: สะดวก เปิดให้บริการนานกว่าธนาคาร บางที่อัตราดีกว่าธนาคาร
    • ข้อจำกัด: อัตราแลกเปลี่ยนในสนามบินมักแพงกว่า และอาจมีความเสี่ยงในแหล่งท่องเที่ยวบางแห่ง
  3. บริการโอนเงินระหว่างประเทศ (เช่น Western Union, MoneyGram):
    • สำหรับการส่งเงินข้ามประเทศ
    • ข้อดี: เครือข่ายกว้าง รับเงินได้เร็ว
    • ข้อจำกัด: ค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง อัตราแลกเปลี่ยนอาจไม่ดีเท่าวิธีอื่น

การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์

  1. แพลตฟอร์มเทรด Forex ออนไลน์:
    • แพลตฟอร์มเฉพาะทางสำหรับการซื้อขายค่าเงิน เช่น MetaTrader, cTrader
    • ข้อดี: ราคาแบบเรียลไทม์ สามารถเทรดได้ 24 ชั่วโมง/5 วันต่อสัปดาห์ มีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคครบถ้วน
    • ข้อจำกัด: มีความซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้น ต้องเรียนรู้การใช้งาน
  2. แอปแลกเงินดิจิทัล (เช่น Wise, Revolut):
    • แอปพลิเคชันสำหรับการแลกเงินและโอนเงินระหว่างประเทศ
    • ข้อดี: ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าธนาคาร อัตราแลกเปลี่ยนใกล้เคียงอัตราตลาด ใช้งานง่าย
    • ข้อจำกัด: อาจไม่รองรับทุกสกุลเงิน บางประเทศไม่สามารถใช้บริการได้
  3. ธนาคารออนไลน์และโมบายแบงก์กิ้ง:
    • บริการแลกเงินผ่านช่องทางออนไลน์ของธนาคาร
    • ข้อดี: สะดวก ปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือ
    • ข้อจำกัด: อัตราแลกเปลี่ยนมักไม่ดีเท่าแพลตฟอร์มเฉพาะทาง มีค่าธรรมเนียมสูงกว่า

การซื้อขายในตลาด Forex เพื่อเก็งกำไร

การซื้อขายในตลาด Forex เพื่อเก็งกำไรมีหลักการพื้นฐานคือ:

  1. ซื้อเมื่อคาดว่าจะขึ้น ขายเมื่อคาดว่าจะลง: ถ้าคุณคาดว่าเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ คุณก็จะซื้อ EUR/USD
  2. Pip (Price Interest Point): หน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนใหญ่คือทศนิยมตำแหน่งที่ 4 (0.0001)
  3. Lot Size: ปริมาณการซื้อขาย โดยทั่วไป 1 Lot มาตรฐาน = 100,000 หน่วยของสกุลเงินฐาน
  4. เลเวอเรจ (Leverage): การใช้เงินจำนวนน้อยเพื่อควบคุมเงินจำนวนมาก เช่น เลเวอเรจ 1:100 หมายถึงเงิน 1,000 บาท สามารถควบคุมเงินได้ 100,000 บาท

ตัวอย่างการซื้อขายง่ายๆ:

  1. สมมติว่า EUR/USD มีราคา 1.1000 (1 ยูโร = 1.1 ดอลลาร์)
  2. คุณคาดว่ายูโรจะแข็งค่าขึ้น จึงซื้อ 1 Mini Lot (10,000 ยูโร)
  3. หากราคาเพิ่มเป็น 1.1050 (เพิ่มขึ้น 50 pips)
  4. เมื่อคุณปิดการเทรด คุณจะได้กำไร 50 ดอลลาร์ (10,000 × 0.0050)

ขั้นตอนการเริ่มเทรดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์

  1. เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ: ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่น่าเชื่อถือ เช่น FCA (สหราชอาณาจักร), ASIC (ออสเตรเลีย), หรือ กลต. (ไทย)
  2. เปิดบัญชีและยืนยันตัวตน: กรอกข้อมูลส่วนตัว อัพโหลดเอกสารยืนยันตัวตน (เช่น บัตรประชาชน, ใบขับขี่) และพิสูจน์ที่อยู่ (เช่น ใบแจ้งหนี้ค่าสาธารณูปโภค)
  3. ฝากเงินเข้าบัญชี: โอนเงินเข้าบัญชีเทรดผ่านช่องทางที่โบรกเกอร์กำหนด เช่น โอนเงินผ่านธนาคาร, บัตรเครดิต, e-wallet
  4. ดาวน์โหลดและติดตั้งแพลตฟอร์ม: เช่น MetaTrader 4/5 หรือแพลตฟอร์มเฉพาะของโบรกเกอร์
  5. ศึกษาวิธีใช้แพลตฟอร์ม: เรียนรู้วิธีดูกราฟ, วางคำสั่งซื้อขาย, ตั้งค่าการจัดการความเสี่ยง
  6. ฝึกฝนด้วยบัญชีทดลอง: ควรเริ่มต้นด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account) ที่ใช้เงินเสมือนก่อนเริ่มเทรดด้วยเงินจริง

การวิเคราะห์ตลาด Forex

ผู้ที่ซื้อขายในตลาด Forex มักใช้วิธีการวิเคราะห์ 2 แบบ:

1. การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis):

  • ศึกษาปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ที่ส่งผลต่อค่าเงิน
  • ติดตามข่าวเศรษฐกิจ ตัวเลขการจ้างงาน อัตราดอกเบี้ย และนโยบายของธนาคารกลาง

2. การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis):

  • ศึกษารูปแบบราคาในอดีตเพื่อคาดการณ์ทิศทางในอนาคต
  • ใช้กราฟ แนวรับแนวต้าน และตัวชี้วัดทางเทคนิคต่างๆ

ความแตกต่างระหว่างการแลกเงินแบบปกติกับการเทรด Forex

เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน มาดูความแตกต่างระหว่างการแลกเงินตราทั่วไปกับการเทรด Forex เพื่อเก็งกำไร:



ข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละแพลตฟอร์ม

แพลตฟอร์มเทรดเดอร์มืออาชีพ (เช่น MetaTrader, cTrader)

ข้อดี:

  • เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคครบถ้วน
  • รองรับการเขียนโปรแกรมอัตโนมัติ (EA: Expert Advisor)
  • ข้อมูลราคาเรียลไทม์
  • รองรับหลายคู่สกุลเงิน
  • มีตัวเลือกการจัดการความเสี่ยงหลากหลาย

ข้อจำกัด:

  • มีความซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้น
  • ต้องใช้เวลาเรียนรู้
  • ต้องระมัดระวังเรื่องการใช้เลเวอเรจสูง
  • ต้องเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ

แอปพลิเคชันแลกเงินดิจิทัล (เช่น Wise, Revolut)

ข้อดี:

  • ใช้งานง่าย อินเทอร์เฟซเรียบง่าย
  • ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าธนาคาร
  • อัตราแลกเปลี่ยนใกล้เคียงอัตราตลาด
  • สามารถถือเงินหลายสกุลในบัญชีเดียว
  • มีบัตรเดบิตให้ใช้จ่ายได้ทั่วโลก

ข้อจำกัด:

  • ไม่เหมาะสำหรับการเก็งกำไรขนาดใหญ่
  • บางแอปอาจมีข้อจำกัดในการแลกเงินจำนวนมาก
  • อาจไม่รองรับทุกประเทศหรือทุกสกุลเงิน

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการลงทุนใน Forex

ลักษณะของตลาด:

  • ตลาด Forex มีความผันผวนสูง
  • ราคาสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากข่าวสารและเหตุการณ์ต่างๆ
  • มีการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์

การบริหารความเสี่ยง:

  • เลเวอเรจสามารถเพิ่มทั้งกำไรและขาดทุน
  • การใช้คำสั่ง Stop Loss (คำสั่งหยุดขาดทุน) เป็นวิธีจำกัดความเสียหาย
  • การกระจายความเสี่ยงโดยไม่ลงทุนในคู่สกุลเงินเดียวจนเกินไป

เริ่มต้นอย่างมีความรู้:

  • ศึกษาหลักการพื้นฐานของตลาด Forex ให้เข้าใจ
  • เริ่มต้นด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อฝึกฝนโดยไม่เสี่ยงเงินจริง
  • ตั้งเป้าหมายและแผนการลงทุนที่ชัดเจน

สรุป

Forex เป็นตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้เล่นหลากหลายตั้งแต่ธนาคารขนาดใหญ่ไปจนถึงนักลงทุนรายย่อย อัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามปัจจัยเศรษฐกิจ การเมือง และความเชื่อมั่นของตลาด

การลงทุนในตลาด Forex มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้เข้าใจก่อนเริ่มลงทุนจริง และระมัดระวังในเรื่องการใช้เลเวอเรจ ซึ่งสามารถเพิ่มทั้งโอกาสทำกำไรและความเสี่ยงขาดทุน

ไม่ว่าคุณจะสนใจในฐานะนักลงทุน หรือเพียงต้องการเข้าใจข่าวเศรษฐกิจโลก การเข้าใจพื้นฐานของ Forex จะช่วยให้คุณเข้าใจโลกการเงินระหว่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น

Share:

BTemplates.com

Search This Blog

Powered by Blogger.

Blog Archive